สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับทุกๆท่าน Welcome to...



วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2552

ปัญหาผิวหน้าหนาว


ปัญหาผิวหน้าหนาว

*หน้าหนาว ความชื้นในอากาศลดลง ทำให้น้ำระเหยออกจากผิวของเราได้ง่าย หลายคนมีปัญหาผิวแห้งเป็นผื่นคัน ปากแตก ส้นเท้าแตก รังแครังควาน ฯลฯ

*ปัญหาเหล่านี้เป็นแค่อาการ เป็นแล้วทำให้รำคาญ ไม่ได้เป็นโรค คนส่วนใหญ่ก็เลยมักจะไม่ค่อยมาหาหมอ แต่มักจะไปหาซื้อครีมหรือยามาใช้เอง

*ปัญหาที่ 1 เป็นสิวแดงๆ บริเวณ 2 ข้างแก้มและที่หน้าผาก

*คุณอาจจะแปลกใจว่า เอ๊ะ! หน้าหนาว ผิวน่าจะแห้ง แต่ทำไมสิวยังเห่อได้อีก ลองสำรวจตรวจตราดูนะคะ ว่าอากาศหนาวทำให้คุณเข้านอนโดยไม่ล้างหน้า ทั้งๆ ที่ยังมีเครื่องสำอางอยู่บนใบหน้าบ้างรึเปล่า

*ถ้าใช่ คุณก็ควรจะล้างหน้าด้วยสบู่ หรือเจลล้างหน้าแบบอ่อนๆ ไม่ควรใช้สบู่ยาที่แรงเกินไปมาล้าง และอาจจะต้องใช้ยาทารักษาสิวร่วมด้วย เช่น ยาทากลุ่มเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ที่จะช่วยทำให้หัวสิวละลายหลุดออกไปได้ง่ายขึ้น

*แต่ก่อนที่คุณจะไปซื้อยามาใช้เอง ให้คุณพินิจพิจารณาดูดีๆ บางทีรอยแดงๆ 2 ข้างแก้มของคุณ อาจจะไม่ได้เป็นแค่สิว แต่เป็น Rosacea เป็นปัญหาของผิวหนัง ซึ่งเป็นผลมาจากเส้นเลือดขยายใต้ผิวหนัง ทำให้เห็นเป็นจ้ำๆ แดงๆ ในตอนแรก และเมื่อเป็นมากขึ้นอาจจะมีการอักเสบเป็นเม็ดเล็กๆ มองดูคล้ายสิว และผื่นสิวเหล่านี้ จะยิ่งกำเริบเมื่อโดนกระตุ้นด้วยปัจจัยบางอย่าง เช่น อากาศหนาว เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรืออาหารรสจัด เป็นต้น ถ้าคุณมีอาการอย่างนี้ คุณควรไปพบแพทย์ดีกว่าค่ะ แพทย์จะให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และอาจแนะนำให้ทำเลเซอร์เพื่อลดการอักเสบของเส้นเลือดไปพร้อมๆ กันด้วยค่ะ

*เห็นมั้ยคะ ว่าสิ่งที่คุณวินิจฉัย (เอาเอง) ว่าเป็นสิว จริงๆ แล้วอาจจะเป็นอาการอย่างอื่นก็ได้ค่ะ เพราะฉะนั้น มาให้หมอวินิจฉัยจะดีกว่านะคะ

*ปัญหาที่ 2 ริมฝีปากแห้งแตก

*ในหน้าหนาวหลายคนมีอาการปากแห้ง ซึ่งเมื่อเลียริมฝีปากบ่อยๆ ก็จะยิ่งทำให้ปากแห้งแตกมากยิ่งขึ้น ถ้าเป็นมากปากอาจจะลอกเป็นขุยหรือเป็นแผ่นได้ ห้ามแกะ ห้ามจิก ทึ้งดึงหนังที่ลอกโดยเด็ดขาดนะคะ เพราะจะทำให้เลือดออกซิบๆ ได้ ให้ใช้ลิปบาล์ม วาสลีน ปิโตรเลียมเจล หรือขี้ผึ้งทา จะช่วยลดอาการปากแตกได้ค่ะ

*แต่ถ้าอาการปากแห้งแตกของคุณ มีลักษณะบวมเจ่อ ปากลอกเป็นขุย หรือมีตุ่มขึ้น หรือมีอาการอักเสบแดงด้วยแล้วละก็ คุณอาจจะไม่ได้แค่ปากแห้งเพราะอากาศหนาว แต่ริมฝีปากอักเสบเพราะแพ้เครื่องสำอาง แพ้ลิปสติก แพ้น้ำยาบ้วนปาก ยาสีฟัน หรือแพ้สารเคมีอื่นๆ ซึ่งคุณควรไปพบหมอผิวหนัง เพื่อให้หมอทำการรักษา และทดสอบดูด้วยค่ะว่าคุณแพ้อะไรแน่ จะได้หลีกเลี่ยงจากปัจจัยนั้นๆ วันหลังจะได้ไม่เป็นอีกค่ะ

*ปัญหาที่ 3 ศีรษะเป็นรังแค

*อากาศหนาวไม่มาก แต่เอ๊ะ...ทำไมมีหิมะมาเยือน มองไปมองมาอ้าว...นี่ศีรษะเรามีรังแคนี่นา...

*สาเหตุของรังแคเกิดจากเชื้อยีสต์บนศีรษะมีมากผิดปกติ จนเกิดเป็นสะเก็ดขาวๆ หลุดลอก หรือเป็นขุยติดอยู่ที่เส้นผมและหนังศีรษะ

*อันที่จริงปัญหารังแคเกิดขึ้นได้ทุกฤดูกาล แต่การเปลี่ยนแปลงของอากาศในหน้าหนาว ทำให้รังแคกำเริบได้เหมือนกัน ซึ่งถ้าเป็นแค่รังแคธรรมดา คุณก็สามารถดูแลรักษาเองได้ โดยสระผมด้วยแชมพูที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิค (Salicylic Acid) ซิงค์ไพริไทโอน (Zinc Pyrithione) หรือคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ซึ่งส่วนผสมพวกนี้จะมีฤทธิ์ต้านเชื้อยีสต์ เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา สาเหตุของการเกิดรังแค

*อีกอย่างแชมพูพวกนี้จะช่วยผลัดเซลล์ที่ตายแล้วบนหนังศีรษะออกไป ก่อนที่เซลล์พวกนี้จะจับตัวรวมกันเป็นแผ่น หรือบางชนิดก็ช่วยชะลอการผลัดตัวของเซลล์ ไม่ให้ผลัดตัวเร็วมากเกินไป ทำให้เซลล์ไม่สะสมกลายเป็นขุย ร่วงหล่นเป็นรังแคให้หลุดหรือรำคาญใจ

*แต่ถ้าใช้แชมพูแล้ว อาการรังแครังควานยังไม่ดีขึ้น กลับมีรอยแดงบนศีรษะ และมีแผ่นขาวๆ หนาขึ้น แถมยังลุกลามไปที่ใบหน้าบริเวณหัวคิ้วและบริเวณทีโซน โดยจะเกิดการลอกเป็นขุยๆ และมีอาการคัน อันนี้อาจเป็นภาวะผิวหนังอักเสบที่เรียกว่า เซบเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) ค่ะ

*ถ้าคุณเป็นเซบเดิร์ม คุณควรไปพบแพทย์ผิวหนัง แพทย์จะแนะนำให้ใช้แชมพูที่ผสมด้วยน้ำมันดินสระผม เพื่อลดสะเก็ดที่หลุดลอก ร่วมกับการใช้ยาน้ำหรือโลชันทา หรือให้ยากินที่มีส่วนผสมของสารแก้แพ้ หรืออาจจะเป็นคอร์ติโคสเตียรอยด์เพื่อระงับอาการคันและผื่นแดงค่ะ ซึ่งการใช้ยาสเตียรอยด์ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพราะถ้าทามากๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะทำให้ผิวบางลง และอักเสบง่ายมากขึ้นด้วยค่ะ

*ปัญหาที่ 4 เล็บเปราะ เล็บฉีก ผิวหนังที่โคนเล็บบวมแดง

*การล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำยาต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว นอกจากจะทำให้มือแห้งแตกแล้ว อาจจะทำให้เล็บแห้งเปราะฉีกขาดได้ง่าย

*ถ้าคุณมีอาการอย่างที่พูดไว้ข้างต้นแค่นี้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอ แต่ควรทาครีมบำรุง ทาวาสลีนหรือน้ำมันมะกอก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเล็บ และควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กอย่าง ไข่แดง และตับให้มากขึ้น หรือรับประทานอาหารเสริมพวกไบโอติน (Biotin) เพื่อช่วยบำรุงเล็บ

*ข้อควรระวัง

*ไม่ควรล้างมือบ่อยเกินไป หรือถ้าจำเป็นต้องล้างบ่อยๆ ก็ควรงดใช้สบู่บ้าง

*ถ้าต้องล้างจานหรือซักผ้าบ่อยๆ ให้ใส่ถุงมือเวลาทำงาน จะได้ป้องกันไม่ให้มือและเล็บโดนน้ำและน้ำยามากเกินไป

*อย่ากัดเล็บ

*อย่าตัดหนังรอบๆ เล็บ เพราะหนังพวกนี้มีหน้าที่ป้องกันเล็บ ถ้าตัดมากไป อาจทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น และถ้าหนังข้างๆ เล็บฉีก ก็ไม่ควรดึงหรือตัดหนังข้างๆ เล็บด้วยค่ะ

*ถ้าดูแลตามที่แนะนำข้างต้นนี้แล้ว ยังไม่ทำให้อาการดีขึ้น แต่ดูเหมือนจะยิ่งลุกลามไปใหญ่ คุณอาจจะเป็นโรคผิวหนังบางอย่าง หนึ่งในนั้นคือ โรคสะเก็ดเงินก็ได้ค่ะ

*อาการของโรคสะเก็ดเงินก็คือ คนไข้จะมีผื่นแดงตามศีรษะและตามตัว ที่ผื่นจะมีสะเก็ดสีขาวเงินๆ เป็นแผ่นบ้าง เป็นขุยบ้างอยู่ด้านบน นอกจากผื่นแล้ว คนที่เป็นโรคสะเก็ดเงินอาจจะมีอาการผิดปกติของเล็บ โดยเล็บจะมีอาการนูนหนา เล็บร่อน เล็บขรุขระเป็นหลุม สีของเล็บเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีขาว คล้ายเล็บเป็นเชื้อรา

*ถ้าเป็นโรคสะเก็ดเงิน ความรุนแรงของโรคจะแตกต่างกัน คุณจึงควรไปพบแพทย์ค่ะ