ฝ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร!
*ฝ้าเกิดจากเซลล์ที่สร้างเม็ดสีซึ่งอยู่ในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) มีการสร้างเม็ดสี เมลานิน (Melanin) เพิ่มมากกว่าปกติ จึงทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นมีสีเข้มขึ้นเป็นสีน้ำตาลอ่อนจนถึงเข้ม มักจะพบบริเวณโหนกแก้ม สันจมูก หน้าผาก บริเวณเหนือริมฝีปากและคาง
*สาเหตุของการเกิดฝ้า
*ปัจจัยภายใน
*ระดับฮอร์โมนเพศหญิง ที่เปลี่ยนแปลงในขณะตั้งครรภ์ หลังคลอดบุตรหรือระหว่างรับประทานยาคุมกำเนิด
*วัยหรืออายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวหนังมีความเสื่อมโทรมและอ่อนแอลง
*ความเครียดและความกังวลใจ
*เผ่าพันธุ์ โดยพบว่าสาวชาวเอเชียจะเป็นฝ้ามากกว่าสาวชาวตะวันตก
*การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
*ปัจจัยภายนอก
*รังสี UV จากแสงแดด แสงไฟ และความร้อนจากเตาไฟ ตัวการที่ทำให้การสร้างเม็ดสีเมลานินมากผิดปกติ ส่งผลให้เกิดฝ้า กระ หรือรอยด่างดำมากขึ้น
*สารเคมีและมลภาวะ ที่ได้รับจากสิ่งแวดล้อมภายนอก
*ชนิดของฝ้า
*ฝ้าตื้น (Superficial Type) จะเห็นได้ชัดเพราะอยู่ที่เซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้า ฝ้าชนิดนี้จะมีสีน้ำตาลดำเข้ม มีขอบชัดเจน
*ฝ้าลึก (Deep Type) มีสีน้ำเงินอมม่วงหรือเทาอ่อนๆ ของเขตไม่ชัดเจน ฝ้าชนิดนี้รักษาให้หายยากกว่าฝ้าตื้น เนื่องจากเกิดอยู่ที่ผิวหนังชั้นลึกลงไป
*ฝ้าผสม (Mixed Type) จะมีลักษณะของฝ้าตื้นและฝ้าลึกปนกัน
*หลักการรักษาฝ้า
*หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น โดยเฉพาะแสงแดด ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด โดยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เช่น เคยว่ายน้ำตอนกลางวันก็เปลี่ยนมาเป็นตอนเช้าตรู่หรือตอนเย็น จึงเป็นวิธีธรรมชาติที่ทำให้ฝ้าจางลง
*การใช้ยารักษาฝ้า มีตัวยาหลายชนิดที่ทำให้ฝ้าจางลง เช่น ไฮโดรควินโนน, กรดเรตติโนอิก, กรดอะซาลิอิก, กรดโคจิก จนกระทั่งสตีรอยด์ ซึ่งตัวยาแต่ละตัวจะมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันออกไป และอาจก่อให้เกิดข้อแทรกซ้อนได้
*นอกจากนั้น หากจำเป็นต้องโดนแดด การใช้ยากันแดด เพื่อลดผลของแสงแดดที่กระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้น นักวิจัยอเมริกันเคยกล่าวว่า แค่เดินลงจากบ้าน มาขึ้นรถ หากถูกแดดจัด ฝ้าก็เข้มขึ้นแล้ว
*แต่ก็ยังไม่มียากันแดดตัวใดที่ป้องกันแดดได้ 100% ดังนั้นแม้จะทายากันแดดก็ยังต้องพยายามหลบเลี่ยงแสงแดดตามไปด้วย
*ฝ้าเกิดจากเซลล์ที่สร้างเม็ดสีซึ่งอยู่ในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) มีการสร้างเม็ดสี เมลานิน (Melanin) เพิ่มมากกว่าปกติ จึงทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นมีสีเข้มขึ้นเป็นสีน้ำตาลอ่อนจนถึงเข้ม มักจะพบบริเวณโหนกแก้ม สันจมูก หน้าผาก บริเวณเหนือริมฝีปากและคาง
*สาเหตุของการเกิดฝ้า
*ปัจจัยภายใน
*ระดับฮอร์โมนเพศหญิง ที่เปลี่ยนแปลงในขณะตั้งครรภ์ หลังคลอดบุตรหรือระหว่างรับประทานยาคุมกำเนิด
*วัยหรืออายุที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวหนังมีความเสื่อมโทรมและอ่อนแอลง
*ความเครียดและความกังวลใจ
*เผ่าพันธุ์ โดยพบว่าสาวชาวเอเชียจะเป็นฝ้ามากกว่าสาวชาวตะวันตก
*การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
*ปัจจัยภายนอก
*รังสี UV จากแสงแดด แสงไฟ และความร้อนจากเตาไฟ ตัวการที่ทำให้การสร้างเม็ดสีเมลานินมากผิดปกติ ส่งผลให้เกิดฝ้า กระ หรือรอยด่างดำมากขึ้น
*สารเคมีและมลภาวะ ที่ได้รับจากสิ่งแวดล้อมภายนอก
*ชนิดของฝ้า
*ฝ้าตื้น (Superficial Type) จะเห็นได้ชัดเพราะอยู่ที่เซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้า ฝ้าชนิดนี้จะมีสีน้ำตาลดำเข้ม มีขอบชัดเจน
*ฝ้าลึก (Deep Type) มีสีน้ำเงินอมม่วงหรือเทาอ่อนๆ ของเขตไม่ชัดเจน ฝ้าชนิดนี้รักษาให้หายยากกว่าฝ้าตื้น เนื่องจากเกิดอยู่ที่ผิวหนังชั้นลึกลงไป
*ฝ้าผสม (Mixed Type) จะมีลักษณะของฝ้าตื้นและฝ้าลึกปนกัน
*หลักการรักษาฝ้า
*หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น โดยเฉพาะแสงแดด ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัด โดยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เช่น เคยว่ายน้ำตอนกลางวันก็เปลี่ยนมาเป็นตอนเช้าตรู่หรือตอนเย็น จึงเป็นวิธีธรรมชาติที่ทำให้ฝ้าจางลง
*การใช้ยารักษาฝ้า มีตัวยาหลายชนิดที่ทำให้ฝ้าจางลง เช่น ไฮโดรควินโนน, กรดเรตติโนอิก, กรดอะซาลิอิก, กรดโคจิก จนกระทั่งสตีรอยด์ ซึ่งตัวยาแต่ละตัวจะมีข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันออกไป และอาจก่อให้เกิดข้อแทรกซ้อนได้
*นอกจากนั้น หากจำเป็นต้องโดนแดด การใช้ยากันแดด เพื่อลดผลของแสงแดดที่กระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้น นักวิจัยอเมริกันเคยกล่าวว่า แค่เดินลงจากบ้าน มาขึ้นรถ หากถูกแดดจัด ฝ้าก็เข้มขึ้นแล้ว
*แต่ก็ยังไม่มียากันแดดตัวใดที่ป้องกันแดดได้ 100% ดังนั้นแม้จะทายากันแดดก็ยังต้องพยายามหลบเลี่ยงแสงแดดตามไปด้วย
*การรักษาให้ฝ้าจางลงนั้นทำได้ แต่ยังไม่มีวิธีใดๆที่สามารถรักษาฝ้าให้หายขาดโดยไม่ขึ้นใหม่อีกได้
*จึงไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณาใดๆที่ว่าฝ้ารักษาหายขาดได้ เพราะจะทำให้เสียเวลาและเงินทองจนเกินไป