สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับทุกๆท่าน Welcome to...



วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552

มะเร็งปากมดลูก


มะเร็งปากมดลูก

*มะเร็งปากมดลูกคืออะไร?

*มะเร็ง คือ เนื้อร้ายภายในร่างกายที่เจริญเติบโตขึ้นโดยปราศจากการควบคุม

*ปากมดลูก คือ อวัยวะในร่างกายสตรี เป็นส่วนหนึ่งของมดลูก อยู่ภายในช่องคลอดมีหน้าที่ ป้องกันสิ่งแปลกปลอมภายนอกร่างกายและเป็นทางผ่านของสิ่งคัดหลั่งจากมดลูก มะเร็งปากมดลูกเป็นเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นบริเวณปากมดลูก สามารถแพร่ขยายลุกลามและกดเบียด อวัยวะใกล้เคียงมดลูกภายในอุ้งเชิงกราน และสามารถกระจายไปยัง ปอด ตับ ลำไส้ หรือสมอง ทำให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะเหล่านั้น ตามมาได้

*มะเร็งปากมดลูกเกิดจากอะไร?

*มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งแห่งความรัก หากปราศจากการมีเพศสัมพันธ์ มะเร็งก็ไม่เกิด

*พบว่าเชื้อไวรัส HPV เป็นสาเหตุที่ชักนำให้ปากมดลูกเกิดความผิดปกติกลายเป็นมะเร็ง โดยเชื้อไวรัส HPV นี้เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดหูดหงอนไก่

*เมื่อสตรีได้รับเชื้อไวรัส HPV มาจากการมีเพศสัมพันธ์ เชื้อชนิดนี้จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมภายในเซลล์ปากมดลูก จนกลไกการควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ถูกกระตุ้นขึ้น ตามมาด้วยการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ ซึ่งไม่อาจหยุดยั้งได้ของเซลล์เนื้องอก

*ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก

*การมีเพศสัมพันธ์กับชายสำส่อน ซึ่งอาจรับเชื้อไวรัส HPV เข้าสู่ร่างกายจากสตรีอื่นมาแล้ว

*การมีคู่นอนหลายคน ทำให้เสี่ยงต่อการรับเชื้อไวรัส HPV มากขึ้น

*การมีเพศสัมพันธ์ขณะอยู่ในวัยเด็กหรือวัยรุ่น เนื่องจากปากมดลูกในระยะนี้ไวต่อการติดเชื้อ HPV

*การสูบบุหรี่หรือขาดสารอาหารบางชนิด ทำให้ร่างกายมีความบกพร่องของกลไกป้องกันไวรัส HPV

*จะเห็นได้ว่า โรคมะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันได้ง่ายมาก เป็นโรคที่ต้องใช้ความเข้าใจในการแก้ปัญหา ความรักระหว่างสามีภรรยา ความรักระหว่างสมาชิกในครอบครัว ความอบอุ่นภายในครอบครัว ความสัมพันธ์ทางเพศที่ไม่สำส่อนจะไม่มีโอกาสรับเชื้อไวรัสมหาภัยชนิดนี้มาได้เลยค่ะ

*สตรีที่มีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกได้มาก คือ

*สตรีที่มีอายุอยู่ในช่วง 30 – 50 ปี

*สตรีที่มีเพศสัมพันธ์ขณะอายุยังน้อย

*สตรีที่มีคู่นอนหลายคน

*สตรีที่สามีเที่ยวโสเภณี

*สตรีที่ติดโรคทางเพศสัมพันธ์บ่อยๆ เช่น หูดหงอนไก่ เริม

*สตรีที่สูบบุหรี่

*สตรีที่ไม่เคยตรวจภายในเลย

*ส่วนอาการแสดงของการเป็นมะเร็งปากมดลูกนั้น ในมะเร็งระยะเริ่มต้นส่วนมากจะไม่มีอาการใดๆ เลยค่ะ

*ในรายที่มะเร็งมีอาการลุกลามมากแล้วทำให้เกิดอาการ เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ เลือดออกทางช่องคลอดที่ไม่ใช่ประจำเดือน ตกขาวมีกลิ่นเหม็น มีหนองหรือเลือดปน ซีด อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

*อาการที่พบของมะเร็งปากมดลูกคือ มีตกขาวจำนวนมากผิดปกติ ลักษณะเป็นหนอง กลิ่นเหม็นหรือมีลักษณะคล้ายน้ำไหลออกมาจากช่องคลอด เลือดออกกะปริบกะปรอย เลือดออกหลังร่วมเพศ หรือเลือดออกในขณะที่ไม่ใช่รอบเดือน เป็นต้น

*แต่อาการเหล่านี้ไม่ใช่จะเป็นอาการของมะเร็งปากมดลูกเสมอไปนะค่ะ เพราะอาจจะเป็นอาการของโรคทางระบบอวัยวะสืบพันธุ์อื่นๆ ได้ด้วยค่ะ ซึ่งอย่างไรก็ตามควรไปตรวจวินิจฉัยกับแพทย์ค่ะ

*ทำอย่างไรคุณผู้หญิงจึงจะทราบว่า เราเป็นมะเร็งปากมดลูกหรือไม่

*เนื่องจากมะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันและตรวจพบได้ ตั้งแต่เซลเริ่มผิดปกติ และสามารถรักษาให้หายได้ในระยะเริ่มต้น เพราะมีการดำเนินโรค แบบค่อยเป็นค่อยไป ใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน และเป็นอวัยวะที่อยู่ในตำแหน่งที่สามารถตรวจวินิจฉัยง่ายกว่าอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย

*แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยและรักษาได้เร็ว ก่อนที่จะเป็นมะเร็งลุกลาม จากการตรวจภายในและเก็บตัวอย่างเซลบริเวณปากมดลูกไปตรวจหรือที่เรียกว่าการทำ แป๊ปสเมียร์ ( Pap smear ) ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจหามะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มต้นค่ะ ฉะนั้น คุณผู้หญิงทุกคนควรตระหนักถึง ความสำคัญของการมาตรวจหามะเร็งปากมดลูกให้มากๆ นะค่ะ

*คุณผู้หญิงควรจะเริ่มตรวจหามะเร็งปากมดลูกเมื่อใด

*ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ทุกช่วงอายุ

*ผู้หญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ควรเริ่มตรวจเมื่อ อายุ 30 ปีขึ้นไป

*โดยควรมาตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือตามแพทย์นัด ในกรณีที่เริ่มพบความผิดปกติแพทย์อาจนัดให้ไปตรวจถี่ขึ้น

*การป้องกัน

*การป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่สามารถทำได้ คือ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เช่น หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน งดสูบบุหรี่ สังเกตอาการผิดปกติและที่สำคัญก็คือการไปพบแพทย์เพื่อตรวจหามะเร็งปากมดลูกทุกปี ค่ะ

*การวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก ปัจจุบันมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ คือ การใช้กล้องส่องตรวจปากมดลูก ที่เรียกว่า กล้องคอลโปสโคป เป็นกล้องขยายดูปากมดลูกในรายที่ผลการตรวจมะเร็งปากมดลูก โดยการทำแป๊ปสเมียร์ผิดปกติ ทำให้ง่ายต่อการรักษามากขึ้นค่ะ

*การรักษาความผิดปกติของมะเร็งปากมดลูกก่อนระยะลุกลาม สามารถรักษาให้หายได้ โดยการผ่าตัด หรืออาจใช้เครื่องจี้เย็น เครื่องจี้ไฟฟ้า และการใช้เลเซอร์

*ส่วนมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม ก็สามารถรักษาได้ผลดีจากการผ่าตัด การฉายรังสีและการให้ยาเคมีบำบัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค ยิ่งตรวจค้นพบได้เร็วเท่าไรโอกาสหายก็ยิ่งมีมากค่ะ

*ดังที่กล่าวมาแล้วว่าการรักษามะเร็งปากมดลูกได้ผลดีมาก อัตราการอยู่รอด 5 ปีในมะเร็งระยะแรกๆ มีมากถึงกว่า 90% ที่เดียวละค่ะ

*การตรวจหามะเร็งปากมดลูกทำได้อย่างไร

*มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่สามารถสืบค้นและป้องกันได้ค่ะ โดยการตรวจภายในเพื่อค้นหามะเร็งปากมดลูก เรียกว่า การตรวจแป็ปสเมียร์ค่ะ เป็นการตรวจภายในแล้วใช้ไม้พายเล็กๆ ป้ายบริเวณปากมดลูก เพื่อนำเซลล์ไปตรวจหาความผิดปกติในระยะก่อนเป็นมะเร็ง หรือที่เป็นมะเร็งระยะก่อนลุกลาม ใช้เวลาในการตรวจประมาณ 5 นาที โดยไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ขณะตรวจเลย

*สตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้วทุกช่วงอายุ หรือที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ แต่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจภายในหามะเร็งปากมดลูกด้วยการตรวจแป็ปสเมียร์ปีละ 1 ครั้ง อย่างสม่ำเสมอ ที่โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลใกล้บ้านนะค่ะ การตรวจภายในไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือมีความเจ็บปวดใดๆ เลยค่ะ สตรีควรพิทักษ์สิทธิในร่างกายเราและป้องกันการเกิดโรคซึ่งสามารถจะป้องกันด้วยตัวเราเองนะคะ

*สำหรับการเตรียมตัวในการตรวจแป็ปสเมียร์ไม่ยากเลยค่ะ โดยควรจะตรวจทันทีที่นึกได้ว่าปีนี้ยังไม่ได้ตรวจภายใน โดยวันที่จะมาตรวจภายใน

*ไม่ควรจะเป็นวันที่มีประจำเดือน และควรตรวจหลังประจำเดือนหมดไปแล้ว 2 สัปดาห์

*งดเพศสัมพันธ์และงดการสวนล้างช่องคลอดในวันก่อนตรวจ 1 วัน ค่ะ

*การป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูก

*นอกจากการตรวจหามะเร็งปากมดลูกแล้ว เรายังสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ด้วยการ ดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจให้สมบูรณ์ โดยการงดสูบบุหรี่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกายและอวัยวะสืบพันธุ์ ทำจิตใจให้เบิกบาน แจ่มใส ไม่สำส่อนหรือมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลที่สาม

*หลายคนอาจคิดว่ามะเร็งปากมดลูกเกิดกับผู้หญิงที่เคยมีเพศสัมพันธ์หรือสำส่อนทางเพศเท่านั้น ต้องบอกว่าผิดถนัด เพราะเพียงชั่วขณะที่คุณเข้าห้องน้ำก็สามารถนำไปสู่การเกิดโรคนี้ได้

*ตามปกตินิสัยผู้หญิงจะติดทิชชูเวลาเข้าห้องน้ำ โดยไม่รู้เลยว่าพฤติกรรมติดทิชชูนี้จะเป็นการพามะเร็งร้ายเข้าตัว เนื่องจากทิชชูมีสารเคมีตัวฉกาจผสมอยู่ เมื่อใช้ไปนานๆ จะทำให้เกิดเชื้อราในช่องคลอดและขยายวงกว้างจนกลายเป็นมะเร็งร้าย

*คุณควรปฏิบัติให้ถูกสุขลักษณะ หลังจากทำธุระเรียบร้อยแล้วให้ให้ใช้ทิชชูซับเพียงเบาๆ และอย่าเกิน 10 วินาที ห้ามเช็ดหรือถูเด็ดขาด วิธีนี้จะช่วยหลีกเลี่ยงอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์

*การป้องกันด้วยการฉีดวัคซีน HPV

*ในประเทศไทย มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV 2 ชนิด คือ

*วัคซีนการ์ดาซิล (Gardasil) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเมื่อต้นเดือน พฤษภาคม เป็นวัคซีนรวม 4 สายพันธุ์ สามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ 6, 11, 16 และ 18 ซึ่งวัคซีนสามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูก ที่เกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 อันเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกทั่วโลก ประมาณร้อยละ 70 และหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ ที่สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ 6 และ 11 ได้

*วัคซีนเซอร์วาริก (Cervarix) ซึ่งคาดว่าจะผ่านการรับรองและจำหน่ายได้ราวเดือนสิงหาคมนี้ เป็นวัคซีน 2 สายพันธุ์ สามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ 16 และ 18 ซึ่งเป็นต้นเหตุส่วนใหญ่ของโรคมะเร็งปากมดลูก

*การฉีดวัคซีน HPV

*เพื่อให้วัคซีน HPV เกิดประโยชน์สูงสุด แนะนำให้ฉีดวัคซีนในเด็กผู้หญิงอายุ 9-26 ปี (ก่อนถึงวัยมีเพศสัมพันธ์) และในผู้หญิงที่ไม่เคยติดเชื้อ HPV มาก่อน และสำหรับวัคซีนชนิดรวม 4 สายพันธุ์ สามารถฉีดในเด็กผู้ชาย อายุ 9-11 ปีได้อีกด้วย เพื่อป้องกันการเกิดโรคหูดหงอนไก่และป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้หญิงในอนาคต

*การฉีดวัคซีน HPV ให้ฉีด 0.5 มล. เข้ากล้ามเนื้อหัวไหล่ จำนวน 3 ครั้ง

*ครั้งที่ 1 ฉีดในวันที่กำหนดเลือก

*ครั้งที่ 2 ฉีดในเดือนที่ 1-2 หลังจากการฉีดครั้งแรก

*ครั้งที่ 3 ฉีดในเดือนที่ 6 หลังจากการฉีดครั้งแรก*ผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีน HPV

*โดยทั่วไปการฉีดวัคซีน HPV มีความปลอดภัยสูง ไม่พบอาการข้างเคียงที่รุนแรงอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น ได้แก่ ไข้ พบประมาณร้อยละ 10 และบริเวณที่ฉีดวัคซีนอาจมีอาการปวด บวม แดง และคัน เป็นอยู่ชั่วคราวและหายไปเอง

*สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก

*วัคซีนเป็นวัคซีนป้องกัน แต่ไม่ใช่วัคซีนสำหรับรักษาในกรณีที่เกิดรอยโรคจากการติดเชื้อไวรัส HPV แล้ว

*เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรให้วัคซีนตั้งแต่ก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก แต่ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์แล้วก็ยังคงต้องมีการตรวจแปปสเมียร์ประจำทุกปี หรือตามแพทย์นัด